
โรคพาร์กินสัน เป็นหนึ่งในโรคทางระบบประสาทเสื่อมที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ แต่น้อยคนจะเข้าใจถึงธรรมชาติและผลกระทบที่แท้จริงของโรคนี้ โรคพาร์กินสันไม่ใช่เพียงแค่อาการมือสั่นที่หลายคนมักเข้าใจผิด แต่เป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่ซับซ้อนซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายในหลายๆ ด้าน ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมากกว่า 10 ล้านคน และในประเทศไทยก็มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคพาร์กินสันอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่นิยาม สาเหตุ อาการ ระยะของโรค ไปจนถึงการรักษาและการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วย
โรคพาร์กินสันคืออะไร เป็นแค่อาการสั่นหรือไม่?
Parkinson’s Disease หรือโรคพาร์กินสัน คือโรคทางระบบประสาทเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมองส่วนที่เรียกว่า “substantia nigra” ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “โดปามีน” (Dopamine) เมื่อเซลล์เหล่านี้ตายลง ทำให้ระดับของโดปามีนลดลงอย่างมาก โดปามีนเป็นสารสำคัญที่ช่วยในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อระดับโดปามีนลดลงประมาณ 60-80% จะเริ่มปรากฏอาการทางคลินิกที่เห็นได้ชัด
ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการมือสั่นขณะพัก (Resting Tremor), การเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia), กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (Rigidity) และการทรงตัวที่ผิดปกติ (Postural Instability) นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เช่น ภาวะซึมเศร้า ปัญหาการนอน ปัญหาด้านความคิดและความจำ เป็นต้น ทำให้โรคนี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก
โรคพาร์กินสันระยะต่าง ๆ มีอาการอย่างไรบ้าง?

โรคพาร์กินสันอาการเป็นอย่างไร? เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคเสื่อมของระบบประสาท อาการจะค่อย ๆ เพิ่มความรุนแรงขึ้นตามเวลา โดยการแบ่งระยะที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือการแบ่งตามระบบของ Hoehn and Yahr ซึ่งแบ่งความรุนแรงของโรคออกเป็น 5 ระยะดังนี้
- ระยะที่ 1: เป็นระยะเริ่มต้น อาการพาร์กินสันจะปรากฏที่ร่างกายซีกใดซีกหนึ่งเท่านั้น อาการมือสั่นเกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทเริ่มปรากฏให้เห็น อาจสังเกตเห็นอาการมือสั่นเล็กน้อย การเคลื่อนไหวที่ช้าลง หรือการเปลี่ยนแปลงของลายมือให้เล็กลง (micrographia) ในระยะนี้ผู้ป่วยยังสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ อาการไม่รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก
- ระยะที่ 2: อาการเริ่มปรากฏทั้งสองข้างของร่างกาย แต่ยังไม่มีปัญหาเรื่องการทรงตัว ผู้ป่วยอาจมีปัญหาในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความละเอียดมากขึ้น เช่น การติดกระดุมเสื้อ การผูกเชือกรองเท้า ใบหน้าอาจแสดงอารมณ์น้อยลง (Hypomimia) เสียงอาจเบาและทุ้มลง อาการเหล่านี้เริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันบ้างแต่ไม่มาก
- ระยะที่ 3: เป็นระยะกลางของโรค เริ่มมีปัญหาในการทรงตัว แต่ยังสามารถเดินและยืนได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือ การเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการ “การเดินติด” (Freezing of gait) คือการที่รู้สึกเหมือนเท้าติดกับพื้น ทำให้เริ่มเดินลำบาก การหมุนตัวทำได้ยากขึ้น
- ระยะที่ 4: อาการรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันยังสามารถเดินได้ แต่อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า หรือ walker ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันลดลงอย่างมาก ต้องการความช่วยเหลือในการทำกิจกรรมต่างๆ การเคลื่อนไหวช้ามาก กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง และอาจมีอาการสั่นที่รุนแรงขึ้น ผู้ป่วยไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้อย่างปลอดภัย
- ระยะที่ 5: เป็นระยะสุดท้ายและรุนแรงที่สุด ผู้ป่วยไม่สามารถลุกจากเตียงหรือเก้าอี้เองได้ ต้องนั่งรถเข็น หรือนอนบนเตียงตลอดเวลา ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง อาจมีอาการหลอนหรือประสาทหลอนร่วมด้วย ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แม้แต่กิจวัตรพื้นฐาน
โรคพาร์กินสันมีสาเหตุเกิดจากอะไร?
โรคพาร์กินสันเกิดจากอะไร? ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ได้มีการระบุปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคพาร์กินสันดังนี้
- พันธุกรรม: งานวิจัยพบว่าประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบการกลายพันธุ์ของยีนหลายชนิดที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคพาร์กินสัน
- อายุ: อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปโรคนี้มักเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี แม้ว่าจะมีกรณีที่พบในคนอายุน้อยก็ตาม (Young-onset Parkinson’s Disease)
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสสารเคมีบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคพาร์กินสัน โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงและสารเคมีทางการเกษตร เช่น พาราควอต (Paraquat) และโรทีโนน (Rotenone) นอกจากนี้ การสัมผัสกับโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แมงกานีส และปรอท เป็นเวลานานก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน
- การบาดเจ็บที่ศีรษะ: การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะรุนแรงและซ้ำๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคพาร์กินสัน มีการศึกษาพบว่านักมวยและนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่ได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะบ่อยครั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้น การบาดเจ็บอาจทำให้เกิดการอักเสบในสมองและนำไปสู่การตายของเซลล์ประสาท
- การเกิดก้อนโปรตีนผิดปกติ: ในสมองของผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมักพบการสะสมของโปรตีนที่เรียกว่า “อัลฟา-ซินูคลีน” (Alpha-synuclein) ในรูปแบบที่ผิดปกติเรียกว่า “Lewy bodies” การสะสมของโปรตีนเหล่านี้รบกวนการทำงานของเซลล์ประสาท และนำไปสู่การตายของเซลล์ในที่สุด
โรคพาร์กินสันมีวิธีรักษาอย่างไร?

การรักษาโรคพาร์กินสัน มีด้วยกันหลายวิธี ได้แก่
- การรักษาด้วยยาเป็นแนวทางหลักในการจัดการกับอาการของโรคพาร์กินสัน ยาที่ใช้ส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่การเพิ่มระดับโดปามีนในสมอง หรือเลียนแบบการทำงานของโดปามีน ยาที่ใช้บ่อยในการรักษาโรคพาร์กินสัน เช่น Levodopa, Dopamine Agonists, MAO-B Inhibitors, COMT Inhibitors เป็นต้น
- การผ่าตัดกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation – DBS) เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาอย่างเพียงพอ หรือมีผลข้างเคียงจากยาที่รุนแรง การรักษานี้เกี่ยวข้องกับการฝังขั้วไฟฟ้าเข้าไปในส่วนของสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหว
- การออกกำลังกายและกายภาพบำบัดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาโรคพาร์กินสัน การบำบัดเหล่านี้ช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว และความสามารถในการเคลื่อนไหว เช่น การเดิน ว่ายน้ำ โยคะ ไทชิ และการเต้นรำ เป็นต้น
- การสนับสนุนทางด้านจิตใจและสังคม เช่น การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันและครอบครัว การปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจของโรคได้ดีขึ้น
โรคพาร์กินสัน โรคที่ควรรู้เพื่อเฝ้าระวังคนที่คุณรัก
โรคพาร์กินสัน เป็นความท้าทายทางสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากทั่วโลก โดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของโรค สาเหตุ อาการ และการรักษามีความสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วย โรคพาร์กินสันเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และการเสื่อมตามวัย แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่สามารถป้องกันหรือรักษาให้หายขาดได้ แต่มีวิธีการรักษาหลากหลายที่สามารถควบคุมอาการและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การผ่าตัด การบำบัดทางกายภาพ และการสนับสนุนทางจิตใจและสังคม
