
ในปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง คาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือ Carbon Footprint คือ คำสำคัญที่กำลังถูกกล่าวถึงในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ปัจจุบันองค์กรทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย
หลายประเทศได้ออกนโยบายและมาตรการเพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะเลือกสนับสนุนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น Carbon Footprint คือพื้นฐานสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนและก้าวสู่การเป็นธุรกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน
Carbon Footprint คืออะไร?
Carbon Footprint คืออะไร? Carbon Footprint หรือคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หมายถึง ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในระดับบุคคล องค์กร ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ โดยคิดในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂ equivalent หรือ CO₂e) ซึ่งเป็นหน่วยวัดที่ใช้เปรียบเทียบผลกระทบของก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดที่มีต่อการเกิดภาวะโลกร้อน Carbon Footprint แปลตรงตัวคือ “รอยเท้าคาร์บอน” เปรียบเสมือนรอยเท้าหรือร่องรอยของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำ
ประเภทของ Carbon Footprint คืออะไรบ้าง?

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization – CFO)
คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร คือ การวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดจากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กร ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมาตรฐานสากลที่นิยมใช้ในการประเมิน CFO คือ Greenhouse Gas Protocol (GHG Protocol) ซึ่งแบ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 ขอบเขต หรือที่เรียกว่า Carbon Footprint Scope 1 2 3 คือ
- Scope 1 (การปล่อยทางตรง): เกิดจากกิจกรรมที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในเครื่องจักร ยานพาหนะ หรือการรั่วไหลของสารทำความเย็น
- Scope 2 (การปล่อยทางอ้อมจากพลังงาน): เกิดจากการซื้อพลังงานจากภายนอก เช่น ไฟฟ้า ความร้อน หรือไอน้ำ ที่ผลิตโดยบริษัทอื่นและนำมาใช้ในองค์กร
- Scope 3 (การปล่อยทางอ้อมอื่น ๆ): เกิดจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรง เช่น การเดินทางของพนักงาน การขนส่งวัตถุดิบ การใช้ผลิตภัณฑ์โดยลูกค้า หรือการกำจัดของเสีย
คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product – CFP)
คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ คือ การวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัดซากหลังหมดอายุการใช้งาน การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถระบุจุดที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงในห่วงโซ่การผลิต และนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
คาร์บอนฟุตพริ้นท์ในระดับบุคคล (Personal Carbon Footprint)
นอกจากระดับองค์กรและผลิตภัณฑ์แล้ว ยังมีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในระดับบุคคล ซึ่งวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันของแต่ละคน เช่น การใช้พลังงานในบ้าน การเดินทาง การบริโภคอาหาร และการซื้อสินค้าต่าง ๆ การรู้จักคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตนเองช่วยให้บุคคลสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Carbon Footprint มีประโยชน์อะไรบ้าง?
ประโยชน์ของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ คือ การสร้างคุณค่าให้กับองค์กรในหลายมิติ ทั้งการลดต้นทุน การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี การเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และการปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมายและมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคและนักลงทุนในปัจจุบันให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ประโยชน์ต่อองค์กร
- ลดต้นทุนการดำเนินงาน
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- เตรียมพร้อมรับมือกับนโยบายและข้อกำหนดใหม่
- เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
- สร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดี
ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
- มีทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ได้ผลิตภัณฑ์โปร่งใสและน่าเชื่อถือ
- ส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีความยั่งยืน
ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
- ลดภาวะโลกร้อน
- ปรับปรุงคุณภาพอากาศและสุขภาพ
- อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
- ส่งเสริมนวัตกรรมสีเขียว
แนวทางการลด Carbon Footprint สำหรับองค์กรและครัวเรือน

การลด Carbon Footprint คือ ความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับบุคคล ครัวเรือน ไปจนถึงองค์กรและประเทศ มีหลายวิธีที่สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน โดย Carbon Emission คือ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้จะช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับองค์กร
- เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น
- ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับผลิตไฟฟ้าใช้เอง
- ซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน
- ลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด
- ส่งเสริมรูปแบบการทำงานที่ยั่งยืน เช่น
- สนับสนุนการทำงานจากที่บ้านหรือรูปแบบการทำงานที่ลดการเดินทาง
- จัดประชุมผ่านระบบออนไลน์แทนการเดินทาง
- สนับสนุนการใช้ระบบขนส่งสาธารณะหรือรถร่วมเดินทางสำหรับพนักงาน
- จัดการขยะและส่งเสริมการลดใช้ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล
สำหรับบุคคลและครัวเรือน
- ประหยัดพลังงานในบ้าน
- ปิดไฟและถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน
- ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25-26 องศาเซลเซียส
- ซักผ้าด้วยน้ำเย็นและตากผ้าแทนการใช้เครื่องอบ
- เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค
- ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อวัว ซึ่งมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์อาหารสูง
- เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและตามฤดูกาลเพื่อลดการขนส่ง
- ลดการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่จำเป็น
- เลือกซื้อสินค้าที่มีฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำ
- จัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดการใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้ง
- แยกขยะและรีไซเคิลอย่างถูกวิธี
- ทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารและเศษใบไม้
- ซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดแทนการซื้อใหม่
Carbon Footprint คือ เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
Carbon Footprint คือ การวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศจากกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบันทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนต่างตระหนักถึงความสำคัญของการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากขึ้น การประเมินและการลด Carbon Footprint คือ วิธีที่ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อนที่กำลังเผชิญอยู่อีกด้วย