
ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่การเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังต้องมีการทำข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเกี่ยวกับความรับผิดชอบ ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น Incoterm คือข้อกำหนดที่ช่วยกำหนดเงื่อนไขทางการค้า ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจบทบาทของตนเองและลดความขัดแย้งในการทำธุรกรรมทางการค้า
บทบาทและความสำคัญของข้อตกลง Incoterm ในการค้าระหว่างประเทศ
Incoterm คือข้อกำหนดที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยสภาหอการค้านานาชาติ (ICC: International Chamber of Commercial) เพื่อกำหนดความรับผิดชอบของผู้ซื้อและผู้ขายในการขนส่งสินค้าในธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ข้อตกลงเหล่านี้ช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นไปได้อย่างราบรื่น และลดข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างคู่ค้า โดยการระบุว่าฝ่ายใดจะรับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ เช่น CIF Incoterm ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง การประกันภัย และการขนส่งข้ามพรมแดน
ความสำคัญของ Incoterm คือการทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจหน้าที่ของตนเองในกระบวนการขนส่ง ตั้งแต่การเตรียมสินค้าส่งออกจนถึงการรับมอบสินค้า นอกจากนี้ยังช่วยให้การขนส่งมีความชัดเจนและไม่เกิดความสับสนเกี่ยวกับความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการทำธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Incoterm ตัวอย่างและการใช้งานในสถานการณ์จริงที่ควรรู้
การเลือกใช้ Incoterm ที่เหมาะสมมีความสำคัญในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากแต่ละเงื่อนไขจะมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างชัดเจน ตัวอย่าง Incoterm ที่นิยมใช้ในธุรกรรมระหว่างประเทศ
- FOB Incoterm ข้อตกลง FOB (Free On Board) หมายถึงผู้ขายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนถึงจุดที่สินค้าได้ถูกโหลดขึ้นเรือที่ท่าเรือส่งออก เมื่อสินค้าถูกส่งขึ้นเรือแล้ว ความเสี่ยงจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อ ผู้ซื้อจะรับผิดชอบค่าขนส่งจากท่าเรือปลายทางไปยังปลายทางสุดท้าย รวมถึงประกันภัยหลังจากสินค้าถึงท่าเรือส่งออก
- CIF Incoterm (Cost, Insurance, and Freight) ในกรณีของ CIF ผู้ขายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่งและการประกันภัยสินค้าจนถึงท่าเรือปลายทาง เมื่อสินค้าถึงท่าเรือปลายทางแล้ว ความเสี่ยงจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อ ซึ่งต้องรับผิดชอบการนำเข้าสินค้าและค่าใช้จ่ายหลังจากนั้น
- DDP Incoterm (Delivered Duty Paid) DDP term คือ เป็นข้อตกลงที่ผู้ขายรับผิดชอบทั้งหมดตั้งแต่การขนส่งสินค้าไปจนถึงการส่งมอบสินค้าที่ปลายทาง รวมถึงภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ผู้ขายต้องรับผิดชอบทุกขั้นตอนจนถึงจุดที่สินค้าถึงมือผู้ซื้อในสถานที่ปลายทาง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากผู้ซื้อ
- Exwork Incoterm (Ex Works) คือ ข้อตกลงที่ผู้ขายส่งมอบสินค้าที่สถานที่กำหนด โดยไม่ต้องจัดการขนส่ง ผู้ขายเพียงให้ข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ส่วนผู้ซื้อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงหลังจากการส่งมอบ รวมถึงการดำเนินการขาออก ขาเข้า และผ่านแดนทั้งหมด
วิธีเลือก Incoterm ให้เหมาะสมกับประเภทการขนส่งและเงื่อนไขทางธุรกิจ

เมื่อทำการเลือก Incoterm ที่เป็นข้อตกลงสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ การพิจารณาหลายปัจจัยเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ข้อกำหนดที่จะช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถบริหารความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้าที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างปัจจัยที่ควรพิจารณามีดังนี้
- ลักษณะของสินค้า ประเภทของสินค้าที่จะจัดส่งมีผลต่อการเลือกเงื่อนไขการขนส่ง หากเป็นสินค้าที่เปราะบางหรือมูลค่าสูง อาจต้องเลือกข้อกำหนดที่รวมประกันภัยและการควบคุมการขนส่งที่รัดกุมยิ่งขึ้น
- วิธีการขนส่ง แต่ละวิธีการขนส่ง เช่น ทางเรือ ทางอากาศ หรือแบบหลายรูปแบบ อาจมีข้อกำหนดที่เหมาะสมต่างกัน เช่น FOB และ CIF เหมาะกับการขนส่งทางทะเล ในขณะที่ EXW และ CIP สามารถใช้ได้กับการขนส่งทุกรูปแบบ
- การรับผิดชอบต้นทุน การแบ่งภาระค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เช่น ค่าขนส่ง ค่าประกัน และภาษีศุลกากร เป็นปัจจัยที่ต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อนเลือก Incoterm
- การจัดการความเสี่ยง แต่ละเงื่อนไขจะกำหนดว่าความเสี่ยงของสินค้าเปลี่ยนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ ณ จุดใด ดังนั้นควรพิจารณาเงื่อนไขที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- กฎระเบียบทางการค้า กฎหมายและข้อกำหนดด้านศุลกากรของแต่ละประเทศอาจมีผลต่อการเลือกใช้ Incoterms ควรศึกษาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ
การเลือก Incoterms ให้เหมาะกับลักษณะของสินค้า
การเลือก Incoterms ที่เหมาะสมกับประเภทของสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากแต่ละชนิดมีข้อกำหนดเฉพาะที่ส่งผลต่อการขนส่ง ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงต่างๆ
- สินค้าขนาดเล็กและการขนส่งทางอากาศ FCA Incoterm คือ (Free Carrier) เหมาะกับการจัดส่งไปยังผู้ให้บริการขนส่งที่กำหนด
- สินค้ามูลค่าสูง CIP Term คือ Carriage and Insurance Paid ให้ความคุ้มครองประกันภัยที่ครอบคลุม ลดความเสี่ยงด้านความเสียหาย
- สินค้าจำนวนมากทางทะเล CFR (Cost and Freight) เป็นทางเลือกที่ดีเมื่อผู้ขายต้องการควบคุมกระบวนการขนส่งจนถึงท่าเรือปลายทาง
- การขนส่งถึงสถานที่ปลายทาง Incoterm DAP (Delivered at Place) เหมาะสำหรับการส่งมอบสินค้าถึงที่หมายโดยที่ผู้ซื้อไม่ต้องจัดการขนส่งเอง
การเลือก Incoterm ที่เหมาะสม ช่วยลดความขัดแย้งและต้นทุนที่ไม่จำเป็น
การเลือก Incoterm ที่สอดคล้องกับลักษณะการค้าสามารถช่วยให้กระบวนการขนส่งราบรื่น ลดปัญหาความเข้าใจผิดระหว่างคู่ค้า และช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น
- ประเมินความสามารถด้านโลจิสติกส์ หากไม่มีทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านขนส่ง อาจเลือก Incoterms ที่ให้ผู้ขายรับผิดชอบมากกว่า เช่น CIF หรือ DDP
- พิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากต้องการลดความเสี่ยงจากการขนส่ง ควรเลือก Incoterms ที่รวมประกันภัย เช่น CIP หรือ CIF
- เจรจากับคู่ค้าทางธุรกิจ การพูดคุยกับคู่ค้าเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกเงื่อนไขที่เป็นธรรม และลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- ติดตามกฎระเบียบการค้า ศึกษาและอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและข้อกำหนดของ Incoterms เพื่อให้แน่ใจว่าการเลือกใช้งานเป็นไปอย่างถูกต้องและทันสมัย
ข้อควรระวังเกี่ยวกับ Incoterm ที่ผู้ซื้อและผู้ขายต้องพิจารณา
การเลือก Incoterm ในสัญญาการค้าระหว่างประเทศควรพิจารณาความรับผิดชอบในการขนส่งและค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเลือกข้อตกลงที่อาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับภาระค่าใช้จ่ายมากเกินไป เช่น การเลือก Incoterms ที่ทำให้ผู้ซื้อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตั้งแต่การส่งมอบ ควรระมัดระวังและพิจารณาเงื่อนไขอย่างรอบคอบและเป็นกลางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สรุป การเลือก Incoterm อย่างเหมาะสมเพื่อความรับผิดชอบและช่วยลดความเสี่ยง
การเลือก Incoterm ที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศช่วยลดความเสี่ยงและความรับผิดชอบที่อาจเกิดขึ้นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย การเข้าใจข้อตกลง Incoterms คือ กำหนดขอบเขตความรับผิดชอบได้ชัดเจนและรักษาสิทธิประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้การเลือกบริษัทขนส่งที่มีคุณภาพและเงื่อนไขรับรองสินค้าที่ชัดเจนก็ช่วยให้การส่งมอบเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย