เคยไหม เห็นคนอื่นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ทำไมพอเรามาขายตามบ้าง กลับเงียบเป็นป่าช้า ขายมาก็นานแล้ว แต่ทุกครั้งที่ต้องคิด แคปชั่นขายของ แต่ละที กลับตันซะยิ่งกว่าอะไรซะอีก?
นั่นก็เพราะว่าเทคนิคการขายนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญในโลกการขาย แต่เทคนิคที่ว่านั้นกลับไม่ใช่การเน้นเอาแต่ซื้อสปอนเซอร์เพื่อเรียกลูกค้านะ แต่กลับหมายถึงการมีเทคนิคในการเขียนแคปชั่นขายของ เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจคล้อยตามมาซื้อในสิ่งที่เราต้องการขายหรือในภาษาทางการตลาดก็คือ Storytelling นั่นเอง
โดย Storytelling จัดว่าเป็นสิ่งสำคัญของการสร้างเรื่องราวการขายบนโลกออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram หรือ Twitter เป็นอย่างมาก โดยการมี Storytelling ที่ดีนั้นจะสะดุดตาลูกค้า ให้เกิดสนใจอยากอ่านต่อ จนรู้สึกว่าอยากสั่งซื้อสินค้าของเราตามมา
ซึ่งความยากของเรื่องนี้ก็คือ แล้วจะทำยังไงดีล่ะให้พื้นที่แคปชั่นที่เรามีอยู่น้อยนิด สามารถดึงดูดลูกค้าจนอยากจะหอบเงินมาลงร้านเราได้ จะใช้ศิลปะวาทศิลป์ยังไงในการบรรจงแคปชั่นให้ออกมาโดนใจผู้บริโภคจนพวกเค้ารู้สึกว่า ต้องซื้อ!
KingCopywriting แนะนำ... 👇👇👇
บทความนี้จะแชร์เทคนิคการเขียนแคปชั่นขายของขั้นเทพทั้งหมด 27 Tricks ที่ทำให้ลูกค้าอ่านแล้วต้องอยากซื้อ!
1. แคปชั่นขายของ แบบดึงปัญหาขึ้นมาเป็นจุดสนใจ (Before – After – Bridge)
Before - ก็คือการดึงปัญหาขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจ
After - ขยี้ให้ลูกค้าเห็นว่า หากใช้ผลิตภัณฑ์ของเราแล้วจะได้ดียังไง
Bridge - ทำยังไงให้ไปถึงจุดนั้นได้ ก็คือต้องใช้ของที่เราต้องการจะขายนั่นเอง
ซึ่งรูปแบบนี้ เหมาะมากๆ สำหรับการนำไปใช้เป็นอินโทรในการเปิดบล็อก หรือการเขียนแคปชั่นในสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ
ตัวอย่าง : จะนำเสนออะไรแต่ละทีด้วยอัลบั้มรูปภาพนั้น ลำบากเกินไป แถมต้องใช้เวลานานมากเลย อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ลองเปลี่ยนมาดึงดูดความสนใจด้วยวิธีนี้ดูสิ ง่ายๆ เพียงราวๆ 15 นาทีเอง
2. เทคนิคการเขียน แคปชั่นขายของ แบบขยี้เน้นไปที่ปัญหาแบบจู่โจม (Problem – Agitate – Solve)
Problem - คือการหยิบยกปัญหาขึ้นมาพูดก่อน
Agitate - เน้นย้ำหรือขยี้ให้ผู้อ่านรู้สึกว่าปัญหานี้มันใหญ่
Solve - ชี้ให้เห็นว่าสินค้าที่เราต้องการจะขายจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ยังไง
ซึ่งเทคนิคแบบนี้นั้น ในกลุ่มคนเขียนบล็อกยังเรียกว่ามันถือเป็นกุญแจของการเขียนแคปชั่นอีกด้วย เพราะเป็นการหยิบยกปัญหาขึ้นมาพูดก่อน แล้วตบท้ายให้เห็นว่าแบรนด์ของเราจะช่วยเค้าได้
ตัวอย่าง :
3. รูปแบบการเขียน แคปชั่นขายของ แบบเน้นเอาข้อดีของผลิตภัณฑ์ขึ้นมาพูด (Features – Advantages – Benefits)
Features - คุณสมบัติ (เป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์) ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง
Advantages - จุดเด่นของสินค้าตัวนี้ อาจจะเอาจุดเด่นที่ว่า สินค้าตัวนี้ดีหว่าตัวอื่นๆอย่างไรมาอธิบายก็ได้
Benefits - คุณประโยชน์ (เป็นเรื่องของลูกค้าเป้าหมาย) ว่าจะช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง
สำหรับการโพสขายของเทคนิคนี้วิธีการใช้ก็คือ ให้เริ่มด้วย คุณสมบัติ(Features) ของสินค้าตัวนั้นๆ และตามด้วย จุดเด่น (Advantages) หรือ คุณประโยชน์ (Benefits)
เพราะว่าเราไม่สามารถปล่อยให้ลูกค้าเป้าหมายตีความหมายจาก Features ให้กลายเป็น Benefits หรือเห็น Advantages ของสินค้าได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหน้าที่ของพวกเราคือต้องอธิบายให้พวกเขาเห็นภาพ
ดังนั้นหน้าที่ของเราจะต้องค้นหาให้ได้ว่า Features (คุณสมบัติ) ของสินค้าตัวนั้นมีอะไรบ้าง และเราจะแปลความหมายของ Features (คุณสมบัติ) ให้เป็น จุดเด่น (Advantages) หรือ คุณประโยชน์ (Benefits) ได้อย่างไรบ้างให้ดูน่าสนใจ
ผมจะขอตัวอย่างง่ายๆให้คุณเห็นภาพมากขึ้นนะครับ สมมุติว่า คุณกำลังขาย "เครื่องตัดหญ้า" ที่มีกำลัง 5 แรงม้า รุ่นใหม่ล่าสุด และมีตัวเครื่องเป็นสีแดงเครือบเงาสวยงาม
ตัวอย่างการโพสให้กับสินค้าตัวนี้ ในมุมความแรงของเครื่อง...
เครื่องตัดหญ้าขนาด 5 แรงม้าเป็นเครื่องตัดหญ้าใช้ระบบน้ำมันที่ทรงพลังมากที่สุด ซึ่งด้วยความแรงระดับ 5 แรงม้า คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าเครื่องตัดหญ้าของคุณจะดับลงกลางคัน แม้ว่าหญ้าจะรกแค่ไหนก็ตาม
และเครื่องยนต์ขนาด 5 แรงม้าจะทำให้คุณยืดอายุการใช้งานได้มากกว่าเครื่องตัดหญ้าทั่วไป โดยเครื่องรุ่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดหญ้าบนพื้นกว้างขนาดเท่าสนามกอล์ฟได้อย่างรวดเร็ว และเหนื่อยน้องลงกว่าเท่าตัว
ทีนี้เราลองมาหา Features - Advantages - Benefits ในข้อความนี้กันนะครับ
Features (พูดถึงคุณสมบัติของสินค้า)
- เครื่องตัดหญ้าขนาด 5 แรงม้าเป็นเครื่องตัดหญ้าใช้ระบบน้ำมัน
Advantages (จุดเด่นของสินค้าตัวนี้)
- เครื่องยนต์ขนาด 5 แรงม้าจะทำให้คุณยืดอายุการใช้งานได้มากกว่าเครื่องตัดหญ้าทั่วไป
Benefits (พูดถึงสิ่งที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะได้รับ)
- คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าเครื่องตัดหญ้าของคุณจะดับลงกลางคัน แม้ว่าหญ้าจะรกแค่ไหนก็ตาม
- โดยเครื่องรุ่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดหญ้าบนพื้นกว้างขนาดเท่าสนามกอล์ฟได้อย่างรวดเร็ว และเหนื่อยน้องลงกว่าเท่าตัว
ต่อมาเรามาดูอีกตัวอย่างนึงครับ
ตัวอย่างนี้จะเป็นการโพส ในมุมความสวยของเครื่องตัดหญ้า ดูบ้าง
คุณจะว่าอย่างไรถ้าสารเคลือบเงาสีแดงตัวนี้จะช่วยปกป้องเครื่องตัดหญ้าของคุณจากน้ำมันเครื่องที่อาจจะกระเด็นออกมาจากตัวเครื่อง และช่วยไม่ให้เศษหญ้าที่คุณตัดไปเกาะติดอยู่บนเครื่องตัดหญ้าของคุณ ช่วยให้เครื่องตัดหญ้าของคุณคงความเงางามและดูใหม่ไปตลอดอีกหลายปี
Features (พูดถึงคุณสมบัติของสินค้า)
- สารเคลือบเงาสีแดงตัวนี้จะช่วยปกป้องเครื่องตัดหญ้าของคุณจากน้ำมันเครื่องที่อาจจะกระเด็นออกมาจากตัวเครื่อง
Advantages (จุดเด่นของสินค้าตัวนี้)
- ไม่มี
Benefits (พูดถึงสิ่งที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะได้รับ)
- ช่วยไม่ให้เศษหญ้าที่คุณตัดไปเกาะติดอยู่บนเครื่องตัดหญ้าของคุณ ช่วยให้เครื่องตัดหญ้าของคุณคงความเงางามและดูใหม่ไปตลอดอีกหลายปี
สำหรับเทคนิคนี้คุณน่าจะเห็นภาพวิธีการใช้สูตร Features - Advantages - Benefits ในการไปโพสแล้วนะครับ
4. เทคนิคแคปชั่นขายของด้วยหลัก 4 C’s
Clear - ชัดเจน
Concise - กระชับ ไม่เวิ่นเว้อ
Compelling - กระตุ้นความสนใจได้
Credible - น่าเชื่อถือ
นับเป็นอีกหนึ่งเทคนิคในดวงใจใครหลายคน เพราะถือเป็นการโฟกัสไปที่การเขียนแคปชั่นให้ออกมาชัดเจนด้วยความกระชับ ตรงไปตรงมาแบบอ่านแล้วน่าเชื่อถือ อีกทั้งก็ยังต้องกระตุ้นความสนใจของลูกค้าได้ด้วยเช่นกัน
5. การเขียน แคปชั่นขายของ แบบ 4 U’s
Useful - ต้องมีประโยชน์
Urgent - ให้ความรู้สึกเร่งรีบ
Unique - มีความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร
Ultra-specific - และต้องตรงประเด็น
หากใครกำลังมองหาแคปชั่นดีๆ ไว้ลงในสื่อโซเชียลโดยเฉพาะ Twitter ล่ะก็ เทคนิคนี้แหละได้ผลแน่นอน เพราะเหมาะกับพื้นที่แคปชั่นที่มีขนาดเล็กและถูกจำกัดความ เช่น การเขียน แคปชั่นชายของใน Twitter
ตัวอย่าง :
6. แคปชั่นขายของ ด้วยรูปแบบเน้นชักจูงและโน้มน้าว (Attention – Interest – Desire – Action) AIDA
Attention - ดึงดูดให้ลูกค้าเกิดความสนใจ
Interest - ชักจูงให้ลูกค้าสนใจในแคปชั่นของเรา
Desire - ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเกิดความต้องการ อยากจะซื้อของของเรา
Action - ชี้ชัดให้เห็นถึงเหตุผลของสิ่งที่เราต้องการจะขาย
เทคนิคนี้จะเหมาะเป็นพิเศษสำหรับการเขียนโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ วิทยุ หรือทางอีเมลก็ตาม โดยต้องเล่นคำและคิดหารูปแบบให้ลูกค้าเกิดความสนใจได้ด้วยเวลาอันสั้น
ตัวอย่าง : เปิดตัว Condo ที่พักสุดหรูแห่งใหม่กลางใจกรุงเทพฯ ที่มาในราคาเพียงหลักแสน อ่านไม่ผิดนะ หลักแสนจริงๆ ช้าอดหมดแน่นอน โทรเลยตอนนี้ เพื่อเป็นเจ้าของห้อง!
7. เทคนิคแคปชั่นขายของด้วยเทคนิคการกล่าวชื่อสินค้าเราซ้ำๆ ให้เกิดการจำได้ (A FOREST)
- A การเล่นคำ
- F สื่อข้อมูลด้วยความจริง
- O มีแฝงข้อคิดเห็น
- R กล่าวซ้ำถึงสิ่งที่ต้องการจะขาย
- E มีการยกตัวอย่าง
- S มีโชว์สถิติให้เห็น
- T พูดคำไหนก็ได้สักคำที่เราต้องการจะสื่อว่าของเราดี โดยการกล่าวซ้ำๆ ให้ได้สัก 3 ครั้ง เพื่อให้เกิดการจำได้
สำหรับรูปแบบนี้ ให้ดึงวิธีของ A FOREST ออกมาใช้สักข้อก็เพียงพอ เช่น การเขียนแคปชั่นด้วยรูปแบบสื่อข้อมูลด้วยความจริง หรือใช้วิธีการเล่นคำ หรือจะใช้การกล่าวซ้ำๆ ถึงสิ่งที่เราต้องการจะขายก็ได้ แล้วมาเทียบดูว่า วิธีแบบไหนจะเข้ากับรูปแบบที่เราต้องการจะขายมากที่สุด
ตัวอย่าง : จะมีที่ไหนดีกว่าเราไม่มีอีกแล้ว BrandA เปิดตัวบ้านโครงการใหม่ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลสาบ พร้อมกับครัวระดับคิงไซส์ ที่ไหนก็ให้ฟีลแบบนี้ไม่ได้ถ้าไม่ใช่ BrandA
8. การเขียนแคปชั่นขายของด้วย 5 ข้ออ้างยอดฮิต
- ฉันไม่มีเวลา
- ฉันไม่มีเงิน
- ไม่มีประโยชน์สำหรับฉัน
- ฉันไม่เชื่อ
- ฉันไม่ต้องการ
เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ มักมีข้ออ้างของการไม่กดอ่าน กดคลิก หรือแชร์ ด้วย 5 ประโยคยอดฮิตเหล่านี้ ซึ่งถ้าหากแคปชั่นที่เราต้องการจะเขียน สามารถพังทลายข้ออ้างทั้ง 5 ข้อเหล่านี้ของลูกค้าออกไปได้ล่ะก็ เราก็มาถูกทางแล้วครับ
ตัวอย่าง : ทุกคนมีเวลาเท่ากัน เพราะการที่บอกไม่มีเวลานั้น เป็นแค่ข้ออ้าง! พบกับสุดยอดเทคนิคการใช้หลักแกรมม่าร์ ที่จะทำให้จำได้และนำไปใช้ได้เป็นสักที!
9. รูปแบบการเขียนแคปชั่นขายของแบบทำให้ลูกค้าเห็นภาพตาม (Picture – Promise – Prove – Push)
- Picture ทำให้ผู้ซื้อเกิดภาพก่อนว่า ซื้อสินค้าของเราไปแล้วจะมีชีวิตดีขึ้นยังไง
- Promise ให้คำมั่นสัญญาว่าสิ่งที่เราขายนั้น จะช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตดีขึ้นจริงๆ หรือช่วยแก้ปัญหาได้จริง
- Prove ชี้ให้เห็นว่า สินค้าของเรามีดียังไง
- Push ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเชื่อว่าของเรานั้นดีจริง กระตุ้นให้เกิดความสนใจอยากจะซื้อ
ซึ่ง 4P ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำหรับการตลาด โดยการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เห็นภาพถึงสินค้าที่เราต้องการจะขายก่อน และตบท้ายด้วยการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ารู้สึกว่า อยากจะหอบเงินมาให้สินค้าของเรา
ตัวอย่าง : เวลาหิวๆ ยามดึกดื่นนี่มันน่าเบื่อจริงๆ จะเดินออกไปหาข้าวกินตอน 4 ทุ่มก็ขี้เกรียจ แต่ต่อไปนี้ ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะ Grab จะทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป!
10. การเขียนแคปชั่นขายของแบบทิ้งท้ายให้คนอยากอ่านต่อ
ถือเป็นการเขียนแคปชั่นในรูปแบบที่ยอดนิยมอีกหนึ่งเทคนิค นั่นก็คือ การเขียนแบบเป็นเรื่องราวตอนๆ หรือ Open Loops ทำให้คนรู้สึกว่าอยากอ่านต่อ หรืออยากติดตามเรื่องราวของเราต่อ นับเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่ง
ตัวอย่าง : อยากรู้มั้ยว่าการสูญเสียลูกค้าไปแค่ 1 คนมันกระทบต่อยอดขายของเราขนาดไหน อยากรู้ อ่านที่บทความนี้ได้เลย!
11. รูปแบบการเขียนแคปชั่นขายของที่มีการเปิดประเด็นด้วยยอดสถิติ ทำให้รู้สึกอยากอ่านต่อ
- สื่อความด้วยความจริง
- กระชับ เข้าใจง่าย
- ตรงไปตรงมา
- ไม่ใช้คำพูดเวิ่นเว้อจนเกินไป
- ใช้คำพูดที่กระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความสนใจ
ซึ่งรูปแบบการเขียนของวิธีนี้ จะออกมาในเชิง
- สั้นๆ ง่ายๆ ไม่เวิ่นเว้อ
- อย่านำโควทที่ไม่เกี่ยวข้องมาอ้างอิงเด็ดขาด
- ยกตัวอย่างเรื่องจริงในส่วนกลางๆ เรื่อง
- แปะลิงก์อ้างอิง
ตัวอย่าง : 53% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมักไม่แชร์ลงสื่อโซเชียล มาดูเทคนิคกัน จะทำยังไงให้พวกเค้ารู้สึกอยากกดแชร์
12. การเขียนแคปชั่นขายของต้องคำนึงถึงหลักการตลาด 5 ข้อของ Sonia Simone
- ต้องมีฮีโร่
- ต้องมีเป้าหมาย
- ต้องมีการต่อสู้
- ต้องมีผู้ให้คำปรึกษา
- และต้องมีศีลธรรม
ซึ่งหลักการเหล่านี้มักใช้นำไปพ่วงกับรูปแบบการตลาดแบบ PAS เพื่อนำมาใช้ในการกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความสนใจในสิ่งที่เราเขียนมากยิ่งขึ้นไปอีก
ตัวอย่าง : คุณอยากเพิ่มยอดลูกค้าให้กดไลค์เพจของเราแบบง่ายๆ กันมั้ย มาดูวิธีกัน
13. การเขียนแคปชั่นขายของที่ดี ต้องตั้งเป้าหมายไปที่ลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
เพราะการเขียนแคปชั่นที่ดีนั้น เราจะต้องตั้งเป้าหมายขึ้นมาก่อนว่า กลุ่มลูกค้าของเราเป็นใคร เพื่อโจมตีการเขียนได้ถูกกลุ่ม โดยเฉพาะการเขียนให้ออกมาเป็นแนวให้ความรู้ จะเรียกความสนใจลูกค้าได้มากเป็นพิเศษ
ตัวอย่าง : ต้องยกนิ้วให้เค้าเลยจริงๆ อยากอัพยอดไลค์ให้เพจตัวเองกันมั้ย อยากรู้ต้องมาดูเลย กับเทคนิคจากเค้าผู้นี้ นักการตลาดในสื่อโซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามเป็นล้านคน!
14. เทคนิคการเขียนขายของที่เริ่มต้นด้วยคำว่า “ทำไม”
- ทำไมเราถึงดีที่สุด
- ทำไมลูกค้าควรเชื่อเรา
- ทำไมลูกค้าถึงควรซื้อเราเดี๋ยวนี้
เมื่อเราพยายามเขียนแคปชั่นให้ออกมาในเชิงตอบคำถามเหล่านี้ได้หมดล่ะก็ ลูกค้าก็จะรู้สึกเหมือนตอบคำถามตัวเองได้เช่นเดียวกันว่าทำไมควรซื้อของของเรา
ตัวอย่าง : ลูกค้ากว่า 70% ยอมรับว่าเราช่วยแก้ปัญหาความปวดหัวในงาน HR ได้จริง เรื่องจริงมั้ย ทำไมถึงแก้ได้ มาดูกัน!
15. รูปแบบการเขียนแคปชั่นขายด้วยการยกสิ่งที่จะขายขึ้นมาเล่าความดีงาม (Star – Story – Solution)
Star ดึงผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการจะขายขึ้นมาเป็นพระเอก
Story เล่าเรื่องราวว่ามันมีดียังไง
Solution ความดีความงามในผลิตภัณฑ์ของเรา ปิดจบแบบสวยๆ
เทคนิคนี้ เราอาจจะเริ่มด้วยการเล่าเรื่องแล้วนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการจะขายไปพร้อมๆ กันเลยก็ได้ แล้วจบสุดท้ายด้วยการตอกย้ำไปที่ความดีงามของสินค้าเราอีกครั้งว่ามันดียังไง
ตัวอย่าง : สัปดาห์นี้มาพบกันการเปิดตัวรถยนต์สำหรับคนยุคใหม่ พระเอกที่คนทั้งโลกต่างรอคอยกันมานาน…
16. หนทางการเขียนแคปชั่นขายด้วยการดึงสิ่งที่เราต้องการจะขายขึ้นมาพูดก่อน (Star – Chain – Hook)
Star เปิดเรื่องด้วยสิ่งที่เราต้องการจะขายก่อน
Chain ตอกย้ำความดีงามของผลิตภัณฑ์ของเรา
Hook ดึงความสนใจลูกค้า โน้มน้าวให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าของเราน่าซื้อ
เป็นเทคนิคการเขียนที่เป็นการโน้มน้าวใจให้ลูกค้าเกิดกระบวนการซื้อสินค้าของเราให้ได้ ด้วยการตอกย้ำไปที่ความดีความงามของผลิตภัณฑ์ของเราว่าจะช่วยลูกค้าอย่างไรได้บ้าง
ตัวอย่าง : มาดูกัน ตัวช่วยในการทำงานที่ใครๆ ต่างก็พูดว่า น่าจะมีตั้งนานแล้ว กับปากกาแบบใหม่ ที่ใช้ยางลบดินสอก็ลบออกได้!
17. รูปแบบการเขียนแคปชั่นขายของแบบสร้างสถานการณ์ขึ้นมาก่อน (Awareness – Comprehension – Conviction – Action)
Awareness การสร้างสถานการณ์ให้ลูกค้าเกิดการรับรู้ก่อน
Comprehension ทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
Conviction โน้มน้าวให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจว่าสินค้าของเราจะช่วยแก้ปัญหานั้นๆ ได้
Action การตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของเราในที่สุด
ถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิค ที่ไม่ค่อยต่างจากสูตรด้านบนที่เพิ่งกล่าวไปสักเท่าไหร่ ซึ่งวิธีนี้จะเน้นการยกตัวอย่าง สร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้ลูกค้าเห็นภาพเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้น และดึงสินค้าของเราออกมาแก้ไขปัญหาให้เห็นว่าของของเรานั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาให้เค้าได้ และจบสุดท้ายด้วยการสั่งซื้อในที่สุด
ตัวอย่าง : อยากรู้มั้ยว่าเราจะเป็นบล็อกเกอร์ที่ดังระดับโลกได้ยังไง อยากรู้ก็ต้องกดเข้ามาลองกันเลย!
18. เทคนิคการเขียนแคปชั่นขายของแบบโน้มน้าวใจด้วย 1 – 2 – 3 – 4
- เปิดประเด็นที่ว่า วันนี้เรามีอะไรดีๆ มานำเสนอ
- สินค้าของเราจะช่วยลูกค้าในเรื่องของอะไรได้บ้าง
- เราคือใคร แบรนด์เรามีที่มาที่ไปยังไง
- โน้มน้าวให้ลูกค้าเกิดการสั่งซื้อ
หลังจากที่เราได้มีการเปิดเรื่องด้วยการบอกเล่าประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากแบรนด์เราไปแล้วนั้น เราก็ต้องมีการบอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปกันสักหน่อยว่าแบรนด์ของเรานั้นเป็นยังไง และจบสุดท้ายด้วยการขยี้ให้ลูกค้าเกิดแรงกระตุ้นอยากจะซื้อของของเรา
ตัวอย่าง : อยากได้ตั๋วสำหรับเข้างานคืนนี้กันมั้ย? แชร์เลย เพื่อรับสิทธิ์นี้!
19. มีการใช้คำว่า เพื่ออะไร? ในกระบวนการเขียนแคปชั่นขายของ
เพราะทุกๆ ครั้งที่เรามีการใช้คำว่า “ลองถามตัวเองดูสิ” หรือ “เพื่ออะไร” นั้น มักเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจและฉุกคิดขึ้นตามได้ทุกที เช่น
“มีดของเรานั้นคมมาก เพื่ออะไรน่ะเหรอ ก็เพราะทำให้คุณสามารถหั่นวัตถุดิบได้อย่างว่องไวและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างกับมือโปรไงล่ะ”
ซึ่งการใช้คำว่า “เพื่ออะไร” มาใช้ในการเขียนแคปชั่นนั้น จะทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจและรู้สึกว่าของของเรานั้นมีคุณค่าควรซื้อมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง : ลองถามตัวเองดูหน่อยซิ! ทุกวันนี้ที่เราเล่นทวิตเตอร์กัน เรารู้กันรึป่าวว่าเค้ามีฟีเจอร์เด็ดๆ แบบนี้อยู่ด้วย!
20. การเขียนแคปชั่นขายของแบบดึงความดีงามของสินค้าที่เราจะขายมาพูดก่อน (AICPBSAWN)
- Attention ดึงดูดความสนใจด้วยความดีความงามของผลิตภัณฑ์ของเราซะก่อน
- Interest เหตุผลและที่มาที่ไปในความดีความงามของผลิตภัณฑ์ของเรา
- Credibility เหตุผลที่ว่าทำไมลูกค้าควรเชื่อเรา
- Prove แสดงสถานการณ์หรือยกตัวอย่างให้ลูกค้าเห็นว่าของเราดีจริง
- Benefits ร่ายข้อดีของผลิตภัณฑ์เป็นข้อๆ
- Scarcity ตอกย้ำให้เห็นถึงความขาดแคลนหรือขยี้ให้เห็นว่าของเรามีน้อยหรือมีจำนวนจำกัด
- Action ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากซื้อ
- Warn จะเกิดอะไรขึ้นหากลูกค้าไม่ซื้อของของเราหรือชี้ให้เห็นว่าลูกค้าจะพลาดเป็นอย่างมาก
- Now กระตุ้นด้วยคำพูดให้ลูกค้ารู้สึกว่า ต้องซื้อเดี๋ยวนี้แล้ว
ถึงแม้ว่าเทคนิคนี้จะยาวพอสมควรเลยทีเดียว แต่ว่า เทคนิคทุกอันในข้อนี้ถือว่าเจ๋งมากๆ เลยล่ะ เพราะเป็นการรวมเอากระบวนการเขียนแคปชั่นเชิงการตลาดไว้แบบครบจบในรูปแบบเดียวเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น รูปแบบนี้ก็คล้ายๆ กับเทคนิค A FOREST ที่เราสามารถดึงบางหัวข้อมาใช้ได้ตามที่เราสะดวกเลยล่ะ
ตัวอย่าง : เชิญพบกับแง่มุมของสื่อมีเดียในปัจจุบันที่เราไม่เคยเผยแพร่ข้อมูลที่ไหนมาก่อนได้พร้อมๆ กันใน Buffer Blog
21. การเขียนแคปชั่นขายของด้วยหลักยุทธศาสตร์ไข่มุกของจีน (String of Pearls)
เทคนิคนี้จะเน้นการเล่าเรื่องด้วยการโน้มน้าวให้ลูกค้าเกิดความสนใจอยากซื้อ ด้วยการลิสท์ข้อดีเป็นข้อๆ ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้ลูกค้ามองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ตัวอย่าง : พบกับ 17 ไอเดียที่ดีที่สุดของปีนี้ได้ที่งาน SXSW
22. รูปแบบการเขียนแคปชั่นขายของด้วยเทคนิคทิ้งคำถามให้ลูกค้าสงสัย (The Fan Dancer)
นำเสนอการเขียนให้ตรงประเด็นโดยไม่ต้องอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียดนัก เพื่อเหลือช่องว่างให้ลูกค้าเกิดความสงสัยในสินค้าของเรามากยิ่งขึ้น หรือ The Fan Dancer ซึ่งดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย แต่กลับกลายเป็นรูปแบบที่ได้ผลเอามากๆ เลยล่ะ
และนั่นแหละคือประเด็น เพราะสูตร The Fan Dancer จะใช้ดีเทลเล็กๆ เพื่อชวนให้เกิดความสงสัยขึ้นมา โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ออกมาทันที เพื่อให้ลูกค้าได้หาคำตอบบ้างโดยการกดคลิกเข้าไปหาอ่านต่อเรื่อยๆ
ตัวอย่าง : ทุกคนเคยได้ยินเรื่องกฎ 2 Pizzas กันมั้ย รู้มั้ยว่า เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องยังไงกับหลักการตลาด?
23. การเขียนแคปชั่นขายของด้วยการเข้าหาลูกค้า (The Approach Formula)
- Arrive เข้าถึงปัญหา
- Propose เสนอวิธีแก้ปัญหา
- Persuade โน้มน้าวผู้ฟังว่าทำไมวิธีการแก้ปัญหานี้ถึงจะเวิร์ค
- Persuade เพิ่มความมั่นใจว่าเรามีวิธีแก้ปัญหาที่น่าเชื่อถือและเป็นไปได้
- Orchestrate ควบคุมและวางแผนโอกาสในการขาย
- Ask ถามถึงคำสั่งซื้อหรือการตอบสนอง เช่น ลูกค้าได้รับของหรือยัง ติดขัดอะไรมั้ย ชอบสินค้าหรือไม่
ซึ่งวิธีการนี้อาจดูเหมือนสูตรสำเร็จจากเซลล์ขายทางโทรศัพท์หรือนักขายที่เคาะตามประตูบ้าน แต่วิธีนี้ จะทำให้ลูกค้าเห็นว่า เราไม่ได้หวังผลจนเกินไป แต่เป็นการขายที่เน้นสร้างความเชื่อมั่นในตัวสินค้าให้กับลูกค้าได้ตลอดทางจนรู้สึกว่าอยากซื้อของของเรา
ตัวอย่าง : ทุกๆ ความคิดเห็นของทุกคนมีค่าต่อเรามาก ติดขัดอะไรตรงไหนแจ้งเราได้เลย
24. รูปแบบการเขียนแคปชั่นขายของด้วยสไตล์ของ Bob Stone’s Gem
- เริ่มต้นด้วยผลประโยชน์ที่ชัดเจน พยายามขยายผลประโยชน์ให้ชัดเจน บอกให้ลูกค้ารู้ว่าเค้าจะได้อะไรจากการซื้อสินค้าของเรา
- บอกลูกค้าด้วยข้อมูลที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา ว่าเค้าจะได้อะไรจากเรา
- ทั้งลูกเล่นและผลประโยชน์ เราต้องรองรับคำพูดทุกคำของเราด้วยการบอกเค้าว่า เค้าจะเสียผลประโยชน์ยังไงหากปล่อยผ่านบทความหรือสินค้าของเราไป
- สรุปภาพรวมถึงผลประโยชน์หรือข้อดีที่ลูกค้าจะได้รับอีกสักครั้ง
- ปิดจบด้วยการโน้มน้าวใจให้ลูกค้ารู้สึกอยากจะซื้อ โดยการย้ำไปที่ข้อดีอีกสักครั้ง
ซึ่งรูปแบบนี้เป็นของ Bob Stone นับว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีผู้คนนำไปใช้ตามเยอะมากเหมือนกัน เพราะนอกเหนือจากเทคนิคด้านบนแล้วนั้น เทคนิคนี้ยังเน้นกระตุ้นให้ลูกค้ามีการเรสปอนซ์กลับมาหาเราด้วยการเสนอช่องทางให้ลูกค้าเสนอความเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กลับมาหาเรา พร้อมคอมเมนท์มาให้ด้วยว่าเราควรปรับปรุงหรือสินค้าของเราดีแล้วหรือยัง
ตัวอย่าง : หมั่นแชร์เรื่องราวที่น่าสนใจให้ได้มากที่สุดในโลกโซเชียล แม้ว่าเราจะไม่ได้มีเวลาว่างมากก็ตาม ซึ่งนี่แหละ คือกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่ง
25. แนวทางการเขียนแคปชั่นขายของแบบ 6+1
- Context บริบทหรือเนื้อความที่ต้องการจะสื่อถึงลูกค้า
- Attention ความน่าสนใจ
- Desire ความปรารถนา
- The gap ช่องว่าง
- Solution วิธีแก้ไขปัญหา
- Call to action การกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง
+1. Credibility ความน่าเชื่อถือ
จากแมกกาซีน Danny Iny of Smashing 6 ข้อแรกนั้นจะเกี่ยวโยงได้ถึงเทคนิค Before-After-Bridge ที่ทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นได้ว่า ตอนนี้กำลังเผชิญปัญหาชีวิตยังไง และสินค้าของเรานั้นสามารถช่วยแก้ไขปัญหานั้นได้ยังไง พร้อมตบท้ายด้วยความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของเรา ว่าสามารถช่วยได้จริงๆ เพราะหากเราขาดคุณสมบัติความน่าเชื่อถือไปหรือรีวิวจากลูกค้าที่ใช้แล้วกลับมาซื้อซ้ำไปล่ะก็ นี่ก็เหมือนว่าเราไม่ได้สร้างความน่าไว้ใจให้ลูกค้ารู้สึกอยากมาซื้อของของเราตามไปด้วย
ตัวอย่าง : ซึ่งนี่ก็เป็นเทคนิคที่ Peg Fitzpatrick ใช้ในทุกๆ วันกับจำนวนยอดผู้ติดตามของเค้ามากกว่า 9 แสนคน
26. สูตรการเขียนแคปชั่นขายของด้วยเทคนิคใช้คำง่ายๆ ให้ลูกค้าเกิดความเห็นภาพ (Upwords)
เทคนิคนี้จะเน้นไปที่ภาพรวมของสินค้าเพื่อทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายในระยะเวลาอันสั้น โดยเจ้าของความคิดนั้นมาจาก Michel Fortin ที่เน้นให้เราใช้คำง่ายๆ หรือยกภาพเหตุการณ์ประกอบให้ลูกค้าเห็น เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเห็นภาพได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น และเกิดการซื้อขายในเวลาถัดมา
ตัวอย่าง : อยากขายดีเป็นเทน้ำเทท่าโดยที่ไม่ต้องเสียเงินจ้างสปอนเซอร์มั้ย เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ยากอย่างที่คิด มาเปิดโลกเทคนิคทางการตลาดไปพร้อมกับเราสิ แล้วเราจะพาทุกคนรวยไปพร้อมๆ กัน
ตัวอย่าง : ซึ่งนี่ก็เป็นเทคนิคที่ Peg Fitzpatrick ใช้ในทุกๆ วันกับจำนวนยอดผู้ติดตามของเค้ามากกว่า 9 แสนคน
27. รูปแบบการเขียนแคปชั่นขายของด้วยหลักการชี้ให้เห็น ถ้าไม่ใช้สินค้าของเรา ลูกค้าจะเป็นยังไง (OATH)
- Oblivious การไม่รู้ถึงการมีอยู่
- Apathetic การไม่สนใจ
- Thinking การคิด
- Hurting ความเจ็บปวด
สูตรนี้จะเน้นมุ่งประเด็นไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่บอกเล่าถึงผลิตภัณฑ์ของเราก่อน แล้วค่อยๆ ตะล่อมว่า หากลูกค้าไม่ได้ใช้สินค้าของเรา จะเป็นยังไง เพื่อให้ลูกค้าค่อยๆ เกิดความรู้สึกว่า สินค้าของเรานั้น เป็นของที่ต้องมี
ตัวอย่าง : เคยได้ยินมั้ย? เราไม่จำเป็นต้องมานั่งโพสต์ข้อมูลด้วยตัวเองทุกเวลานะ เพียงแค่ทุกคนเลือกใช้บริการของเรา ต่อให้จะยุ่งหรืองานรัดตัวขนาดไหน ก็สบายได้หายห่วง เพราะมีเราทำแทนให้หมดเลย!
ทุกคนจะได้เห็นเหมือนกันแล้วว่า ทั้งหมด 27 ข้อนี้ บางเทคนิคเราอาจจะเคยใช้หรือเคยผ่านตามาแล้วบ้างแหละ เพียงแต่ว่า เราอาจจะนำมาใช้โดยไม่สมบูรณ์หรือตกหล่นอะไรไปบ้าง เลยทำให้การเขียนแคปชั่นของเรานั้น อาจจะยังไม่สะดุดสายตาลูกค้ากันสักเท่าไหร่ แต่เชื่อมั้ยว่า หลังจากที่ลองนำเอาเทคนิคทั้ง 27 ข้อนี้ไปลองปรับใช้แล้ว ฟีดแบคการขายจะดีขึ้นจนต้องร้องตกใจ เพราะเราต่างคัดสรรมาอย่างดีแล้วว่า 27 ทริคเหล่านี้แหละคือสิ่งที่พ่อค้าแม่ขายต่างต้องการ
KingCopywriting แนะนำ... 👇👇👇